วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

อนาคตธุรกิจขนส่งทางถนน


"นิ่มซี่เส็ง" ชื่อนี้ ในแวดวงผู้ประกอบการขนส่งพื้นที่ภาคเหนือ คงไม่มีใครไม่รู้จักผู้ประกอบการท้องถิ่นรายนี้ เพราะอยู่ในธุรกิจนี้มานานและเป็นรายใหญ่มีรถบรรทุกให้บริการขนส่งหลายร้อยคัน 

ที่ผ่านมามีการขยายกิจการที่ครอบคลุมการขนส่งสินค้าไปทั่วทิศ มีการบริการคลังสินค้า พร้อมกระจายสินค้าทั่วทุกภาคของประเทศ มีธุรกิจห้องเย็น ธุรกิจตัวแทนของ DHL ธุรกิจขนส่งด่วนทั่วประเทศ ธุรกิจรถยก รถเครน รวมถึงการให้เช่าตู้คอนเทนเนอร์, และธุรกิจอู่ซ่อมรถ นอกจากนี้ยังแตกไลน์ธุรกิจ เปิดธุรกิจโรงแรม ธุรกิจบริการด้านการเงินที่มีกว่า 200 สาขากระจายอยู่ทุกจังหวัดในภาคเหนือตอนบน และล่าสุดเปิดโครงการ NIM CITY DAILY(ศูนย์การค้าขนาดเล็ก) สุวิทย์ ศักดิ์ดานนท์ รองประธานกรรมการ บริษัท นิ่มซี่เส็งขนส่ง(1998) จำกัด ให้สัมภาษณ์"ฐานเศรษฐกิจ"ถึงทิศทางธุรกิจท่ามกลางกระแสธุรกิจโลจิสติกส์ที่กำลังมาแรง โดยเฉพาะผู้เล่นหน้าใหม่ที่เป็นกลุ่มทุนข้ามชาติ


ฟันธงธุรกิจขนส่งใกล้ถึงจุดเปลี่ยน
อนาคตธุรกิจขนส่ง ภายใน 5-10 ปี จะต้องเปลี่ยนแปลง ทั้งรถบรรทุก วิธีการบริการ ไปตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม ซึ่งรถบรรทุกรถคอกไม้จะหายไป รถที่จะมาแทนจะเป็นรถตู้แห้ง รถตู้เย็น แต่อาจจะมีบางส่วนที่ยังจะต้องใช้รถบรรทุกคอกไม้ เช่นรถบรรทุกอ้อย นิ่มซี่เส็งก็เริ่มปรับเปลี่ยนจากรถคอกไม้มาเป็นรถตู้ ในที่สุดรถคอกไม้ ก็จะหมดสภาพไปตามกาลเวลา
ในอนาคตธุรกิจขนส่งจะต้องเติบโต แต่รัฐบาลจะต้องกันอาชีพให้คนไทย อย่าลืมว่า ต่างชาติมีเงินมากกว่า มีเทคโนโลยีที่ดีกว่าเรา ก็ต้องอาศัยรัฐบาลใช้กฎหมายและระเบียบต่างๆป้องกันอาชีพให้คนไทยด้วย เราก็ต้องดูทิศทางต่อไปว่า จะเป็นอย่างไร อย่างเปิดถนน R3.A(ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้)ไปสู่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ถ้าไปทางจีนตอนใต้ การคมนาคมของจีนยังไม่ค่อยเจริญ สู้ประเทศไทยไม่ได้ ดังนั้นไม่รู้ว่า เราจะรุกเขาหรือเขาจะรุกเข้ามาในประเทศเรา ประเทศจีนใหญ่กว่าเรา เหมือนกับเปิดเอฟทีเอ คิดว่าเราจะไปรุกเขาค้าขายกับคน 38 ล้านคนในจีนคุนหมิง แต่ที่ไหนได้ เขารุกเราจนเกษตรกรไทยแทบจะอยู่ไม่ได้
ดังนั้นการจะรับมือก็ต้องดูรัฐบาลด้วยว่า จะคงอาชีพนี้ให้คนไทยหรือไม่ ปัจจุบันการขนส่งต่างชาติเข้ามาเปิดบริษัทเยอะไปหมด อย่างเช่นบริษัทยักษ์ใหญ่จากอเมริกา DHL.การแข่งขันก็สูง แต่ก็ยังมีช่องว่างอยู่ เพราะปัจจุบันประเทศไทยกำลังเจริญคงจะต้องปรับตัวตลอดเวลา ซึ่งเราเตรียมรับมือไว้แล้ว ทั้งรูปแบบการบริการ รูปแบบการขนส่ง


ปรับตัวรับการแข่งขัน
ปริมาณการขนส่งในปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาบ้าง เมื่อเทียบกับปริมาณการขนส่งจากเดิม100% เมื่อปี 2549 ในปี 2550 ลดลงมาประมาณ 20-30% แต่ในปี 2551 สถานการณ์เริ่มกลับมาดีเหมือนๆกับปี 2549 กล่าวคือ เพิ่มขึ้นมาประมาณ 20-30% แต่แทนที่จะเพิ่มขึ้นจากปี 2549 กลับทรงตัวเท่ากับปี 2549
ส่วนด้านการลงทุน ก็ไม่ได้ลงทุนอะไรเพิ่ม จำนวนรถที่วิ่งเท่าเดิมประมาณ 600 คัน สาเหตุก็เนื่องมาจากปัจจุบันราคาน้ำมันดีเซลได้ปรับตัวสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจขนส่งสินค้า โดยเฉพาะธุรกิจนิ่มซี่เส็งขนส่งต้นทุนน้ำมันสูงขึ้นมาก จากราคาน้ำมันลิตรละ10 กว่าบาท เพิ่มขึ้นมาเป็นลิตรละ 20 กว่าบาท และมาเป็นลิตรละ 30 บาท ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย แต่ที่ผ่านมาในช่วงราคาน้ำมันลิตรละ 25 บาท ก็ได้ปรับเพิ่มอัตราค่าขนส่งขึ้นไปบ้าง จากนั้นมาก็ไม่ได้ปรับราคาเพิ่มขึ้นอีก
ดังนั้นเราแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นถึงกว่า 10% มานานแล้ว นิ่มซี่เส็งใช้น้ำมันเฉลี่ยวันละกว่า 1 ล้านบาท ถ้าน้ำมันขึ้นลิตรละ 1 บาท ต้นทุนเพิ่มขึ้นวันละประมาณ 30,000-40,000 บาท นอกจากนี้ราคาสินค้าก็แพงขึ้น ไม่เฉพาะแต่ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นอย่างเดียว เรื่องเงินเดือนพนักงานบริษัทก็ต้องมีการปรับเพิ่มขึ้น
สำหรับการปรับตัว ก็ต้องหาลูกค้าเพิ่มขึ้น การบริการให้ดีขึ้น เพิ่มการบริการให้ลูกค้ามากขึ้น ทั้งบริการแพ็กกิ้ง บริการส่งถึงที่ เมื่อก่อนสินค้าที่จะส่งเข้ากรุงเทพ ฯ จะให้ลูกค้าไปรับที่บริษัท แต่ตอนนี้มีบริการให้เลือกมารับที่บริษัทหรือให้ส่งถึงที่ด้วยบริการ นิ่มเอ็กซ์เพรส โดยคิดอัตราเพิ่มขึ้น แต่ไม่แพง เพราะเรารวมกันไปส่งหลายๆราย วิ่งกระจายสินค้า อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า ทำให้ต้นทุนของเราและลูกค้าที่จะเดินทางมารับด้วยตนเองลดลงด้วย ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ปัจจุบันมีจำนวนรถนิ่มเอ็กซ์เพรสให้บริการในกรุงเทพฯจำนวนประมาณ 10 กว่าคันแล้ว

เล็งพึ่งพลังงานทดแทนเพิ่ม
นอกจากนี้บริษัทก็พยายามจะลดรายจ่ายบางส่วนให้น้อยลง กำลังมองหาพลังงานทดแทนที่จะนำมาใช้แทนน้ำดีเซล ก๊าซก็ยังไม่มั่นใจว่าจะใช้ได้ขนาดไหน แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็น NGV ก็มีปัญหาบรรทุกถัง NGV หนักบรรจุก๊าซ NGV ได้น้อย ถ้าไปเติมครั้งหนึ่งวิ่งจากกรุงเทพฯถึง ตาก แวะเติมปั๊มก๊าซ แต่ละปั๊มอย่างเช่นที่เชียงใหม่เติม 10-20 คันก็หมดแล้ว ต้องรอก๊าซจากกรุงเทพฯมาส่งอีก ถ้าบรรทุกหลายๆถังก็ถูกจำกัดน้ำหนักรถบรรทุก มีปัญหา ซึ่งก็ไม่สะดวก เราไม่สามารถจะเปลี่ยนเป็น NGVได้ ดังนั้นตอนนี้ก็ยังใช้น้ำมันดีเซลและเริ่มมาใช้ LPG บางส่วน กำลังทดลองอยู่กับรถบรรทุกที่ใช้ขนส่งสินค้าว่า จะคุ้มค่าการลงทุนหรือไม่
ดังนั้นเพื่อเป็นการลดต้นทุน จึงขยายธุรกิจเปิดให้บริการปั๊มก๊าซนิ่มซี่เส็ง บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ ใช้เงินลงทุนกว่า 20 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อรองรับรถบรรทุกขนส่งสินค้าของบริษัทที่ใช้น้ำมันดีเซล จะเปลี่ยนมาใช้ ก๊าซ LPG โดยขณะนี้ได้ปรับเครื่องยนต์รถขนส่งของเราแล้วจำนวนประมาณ 2 คัน ในการที่จะทดลองใช้ก๊าซLPG และในอนาคตจะปรับมาใช้ก๊าซ LPG เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่ง ซึ่งคาดว่าจะลดต้นทุนการใช้น้ำมันลงได้วันละประมาณ 400,000-500,000 บาท
นอกจากนี้ปั๊มก๊าซ LPG ยังเปิดเพื่อจะรองรับประชาชนที่หันมาใช้ก๊าซLPG แทนน้ำมันดีเซล ซึ่งนับวันปริมาณการใช้ก๊าซ LPG จะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งยอดขายยังไม่ได้ตั้งเป้าแต่ถ้าปริมาณการใช้ก๊าซของประชาชนเพิ่มขึ้น เราก็สามารถที่จะสั่งก๊าซเพิ่มขึ้นได้ คาดว่าจะมีเพียงพอให้บริการประชาชน ทั้งนี้บริษัทยังมีแผนขยายปั๊มบริการก๊าซ LPG ไปยังจังหวัดต่างๆ แต่จะต้องดูอนาคตว่า รถบรรทุกขนส่งสินค้าที่จะวิ่งจากเชียงใหม่ เข้ากรุงเทพฯนั้น จะต้องขยายเพิ่มอีกกี่แห่งและที่จังหวัดไหนบ้าง
นอกจากนี้นิ่มซี่เส็งขนส่งสำนักงานใหญ่ มีที่ดินทั้งหมดประมาณ 70 ไร่ ด้านหน้าติดถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง หน้ากว้างประมาณ 200 เมตร ที่ผ่านมานิ่มซี่เส็งได้ทำเป็นล็อกให้แม่ค้าเช่าจำหน่ายดอกไม้สด ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดีเพราะเราคิดค่าเช่าไม่แพง อีกทั้งมีที่จอดรถให้กับลูกค้าที่ซื้อดอกไม้ ทำให้ลดปริมาณการแออัดของจราจร ที่จะเข้าไปซื้อดอกไม้ที่ตลาดวโรรส

เปิดตลาดกลางขายผัก-ผลไม้
จากจุดนี้จึงมีแนวคิดที่จะลดความแออัดของการจราจรที่จะเข้าไปซื้อผักและผลไม้ที่ตลาดเมืองใหม่ เปิดตลาดกลางจำหน่ายผลไม้สดและผักสด ตรงบริเวณที่เป็นที่จอดรถยก รถเครน ซึ่งจะย้ายไปจอดด้านหลัง เพราะประชาชนก็รู้จักนิ่มซี่เส็งรถยกรถเครนแล้ว จะปรับพื้นที่บริเวณนี้ประมาณ เกือบ10 ไร่ ให้เป็นตลาดผลไม้ ผักสดจำหน่ายทั้งปลีกและส่ง โดยจัดทำเป็นล็อกๆให้เช่า ส่วนเงินลงทุนนั้นคงจะใช้ไม่เท่าไร เพราะโครงสร้างมีอยู่แล้ว เพียงแต่ปรับปรุงและแบ่งเป็นล็อกๆเท่านั้น คาดว่าจะเปิดได้ในปี 2551 นี้
ด้านการเตรียมการรองรับการขยายตัวของธุรกิจขนส่ง จะมีการปรับปรุงสถานีขนส่งสินค้าให้ดีขึ้น อย่างเช่นที่ตลาดไท เดิมเป็นอาคาร 4 คูหาเริ่มคับแคบ เราจึงซื้อที่ดินผืนใหม่ไว้เมื่อปีที่แล้วประมาณ 6 ไร่ ในปีนี้เราจึงลงมือสร้างสถานีขนสินค้า และอาคารใหม่ใช้เงินลงทุนประมาณ 20 กว่าล้านบาท อีกไม่เกิน 1 เดือนก็แล้วเสร็จ นอกจากนี้ทางภาคเหนือ เพื่อที่จะรองรับถนน R3.A จะขยายสาขาเพิ่มจากเดิมที่มีอยู่แล้วที่เชียงราย พะเยา จะเปิดสาขาใหม่อีก 2 สาขา กำลังดูอยู่ว่า จะเป็นที่เชียงแสน หรือเชียงของ และแม่สาย ต้องดูปริมาณการขนส่งว่า มีมากน้อยแค่ไหน จะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่



ไม่มีความคิดเห็น: